กราบสวัสดีผู้ที่หลงรักการเดินทางและการท่องเที่ยวทุกท่านด้วยนะครับ ในวันนี้ผมจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมสถานที่ที่เรียกได้ว่า สวยงามติดอันดับโลกจนอยากจะโยกย้ายร่างกายหยิบกระเป๋ามาสะพายและพุ่งไปที่นั่นทันที ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่า 10 สถานที่ที่ผมคัดมาในบทความนี้นั้น ไม่ได้เป็นการจัดอันดับแต่อย่างใดแต่อยากให้แต่ละที่มันไปอยู่ในใจทุกท่านก็พอ จะมีที่ไหนบ้างแล้วมันจะสวยงามน่าไปขนาดไหนถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยคร้าบ
1. Reine หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ที่สุด @Norway
เมื่อพูดถึงนอร์เวย์ หลายคนอาจจะคิดถึงเมืองใหญ่ๆ เช่น เมืองออสโลหรือเมืองทรอมโซ แต่วันนี้ผมจะพาทุกคนออกนอกเมืองไปเที่ยวหมู่บ้าน Reine หมู่บ้านชาวประมงที่เก่าแก่ที่สุดและสวยงามที่สุดของประเทศนอร์เวย์กัน ในสมัยก่อนผู้คนออกล่าสัตว์เป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิต เมื่อก้าวสู่ยุคใหม่มีการคิดค้นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายมากมายจนวิถีแบบดั้งเดิมเริ่มสูญหายไป แต่ยังมีประเทศใกล้ขั้วโลกเหนือที่อาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนยังรักษาสืบทอดความสวยงามของธรรมชาติเอาไว้ได้จนกระทั่งได้รับการโหวตว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมงแสนโรแมนติกสวยที่สุดในนอร์เวย์ อย่าง Reine
หมู่บ้านชาวประมง Reine เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) ในมณฑลนูร์ลันด์ อาณาเขตของหมู่บ้านตั้งอยู่เหนือเส้นอาร์คติกเซอร์เคิลบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือ ตั้งอยู่ห่างจากออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ไปทางตอนเหนือ 1,300 กิโลเมตร หมู่บ้านถูกล้อมรอบด้วยฟยอร์ดและเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี และถึงแม้จะอยู่เหนือเส้นอาร์คติกเซอร์เคิล แต่ภูมิอากาศของหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ได้หนาวจัดเหมือนที่อื่นๆ และยังสามารถชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ในฤดูร้อน
เพราะเป็นพิกัดที่ได้รับอิทธิพลลมร้อนจากอ่าวเม็กซิโกและมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านหมู่เกาะที่ตั้งของหมู่บ้าน ทำให้ Reine มีอากาศเย็นสบายตลอดปี แม้ในฤดูหนาวก็จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า -5 องศาเซลเซียส ในขณะที่ฤดูร้อนก็ยังคงมีอากาศเย็นสบายอุณหภูมิเฉลี่ยไม่สูงกว่า 15 องศา นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่สามารถมาท่องเที่ยวได้ตลอดปีเลยทีเดียว ความสวยงามของที่นี่เป็นความสวยงามที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดู
ความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์คือไฮไลท์ของที่นี่นั่นเอง ถึงแม้ว่าหมู่เกาะโลโฟเทนจะมีหมู่บ้านตั้งอยู่มากมาย แต่ Reine ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในนอร์เวย์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความสวยงามที่ถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขาและฟยอร์ด สถาปัตยกรรมบ้านไม้ชาวประมงที่สร้างขึ้นในรูปแบบเดียวกันดูน่ารักและเป็นระเบียบ ทาสีสันสดใสตัดกับสีฟ้าครามของน้ำทะเล บรรยากาศที่มีความเงียบสงบเป็นส่วนตัวเนื่องจากจำนวนประชากรที่มีเพียงประมาณ 300 คนเท่านั้น!
วิถีชีวิตของผู้คนบนเกาะแห่งนี้เลี้ยงชีพด้วยการจับปลาค็อด แล้วนำมาตากแห้งบนราวเป็นแผงรอบเกาะเก็บไว้รับประทานในฤดูหนาว มีกิจกรรมให้เลือกทำหลายอย่าง ทั้งพายเรือแคนู สัมผัสความงดงามของหมู่บ้าน ล่องเรือชมวิวฟยอร์ดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งบนที่ราบหุบเขาที่มีชั้นหินแข็งโดยรอบ หรือใครอยากสัมผัสบรรยากาศแบบพาโนราม่าแนะนำให้มาปีนเขา Reinebrigen ที่มีความสูงถึง 488 เมตร ขึ้นมารับลมเย็นปะทะหน้าชื่นชมภาพหมู่บ้านในมุมสูงที่เห็นวิวทิวทัศน์รอบทิศทางจนทำให้คุณอยากจะหยุดเวลาไว้ ณ ตรงนี้ให้นานที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : TTM พาเที่ยว, Expedia TH, Sanook.com
2. เกาะกลางทะเลสาบเมืองเบลด (Bled) @Slovenia
ถ้าพูดถึงประเทศสโลวิเนีย พวกเรานึกถึงอะไรกันครับ? ประเทศสโลวิเนียหรือสาธารณรัฐสโลวีเนีย (Slovenia) อาจเป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยมากนัก และเพิ่งก่อตั้งเป็นประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2534 หลังได้รับเอกราชจากการล่มสลายของราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย และเริ่มเปิดประเทศกว้างขึ้นเมื่อเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 สโลวีเนียเป็นอีกหนึ่งประเทศในยุโรปที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามไม่แพ้ประเทศอื่นๆเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นก็คือ “ทะเลสาบเมืองเบลด”
เมืองเบลด (Bled) เป็นเมืองที่รู้จักกันในเรื่องของวานิลลาและครีม หรือที่เรียกกันว่า kremna rezina อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีทัศนียภาพอันแสนโรแมนติก จนได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวว่าเป็นเมืองที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของสโลวีเนีย ตัวเมืองถูกล้อมรอบด้วยภูเขาที่สวยดั่งภาพวาด เมือง Bled ถูกพบเมือปี 1004 โดยจักรวรรดิ์โรมันและองค์จักรพรรดิได้ทรงเปรียบเมืองแห่งนี้ว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุด และยกให้เป็นของขวัญแก่ บิช้อปแห่ง Brixen ตัวปราสาทของเมือง Bled ตั้งอยู่กลางแม่น้ำ ยิ่งทำให้ดูเหมือนปราสาทในเทพนิยายเข้าไปใหญ่ ในปัจจุบันมีผู้อยู่อาศัย 5,000 คน และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีแหล่งสปาที่สวยที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง การท่องเที่ยวในเมืองเบลดนั้นค่อนข้างสะดวกสบาย เนื่องจากเป็นเมืองขนาดเล็กที่สามารถเดินเท้าเที่ยวได้อย่างสบาย
ทะเลสาบเบลด (Lake Bled) ทะเลสาบสุดแสนโรแมนติกท่ามกลางหุบเขาจูเลียนแอลป์ (Julian Alps) ทะเลสาบเบลดเกิดจากการละลายตัวของธารน้ำแข็งจากภูเขาจูเลียนแอลป์ จนเกิดเป็นทะเลสาบกว้าง 1380 เมตร ยาว 2120 เมตรและลึก 30 เมตร สามารถเช่าเรือไปยังเกาะกลางทะเลสาบซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์พระแม่มารี (Assumption of Mary) หรือโบสถ์อัสสัมชัน (Assumption of Mary Pilgrimage Church) สร้างในศตวรรษที่ 11 ในศิลปะแบบบาโรก ซึ่งมีการประดับตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่มีการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี นอกจากนี้แล้วยังมีอาคารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ด้านหลังโบสถ์ที่ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับงานแต่งงานตามประเพณี
จุดเด่นและความสวยงามของทะเลสาบเบลดคือมีเกาะอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์พระแม่มารีย์ของเหล่านักแสวงบุญ โดยผู้มาเยือนสามารถเข้าชมโบสถ์และหอคอยกลางทะเลสาบเบลดได้ ด้วยการว่าจ้างเรือไม้โบราณจากท่าเรือจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 99 ขั้น ซึ่งที่นี่มีประเพณีท้องถิ่นสโลวีเนี่ยนเชื่อกันว่า คู่สมรสใหม่ให้ฝ่ายชายอุ้มฝ่ายหญิงปีนบันได 99 ขั้นนี้ และฝ่ายหญิงจะต้องไม่ส่งเสียงดังใดๆ จะทำให้ชีวิตสมรสจะรักกันยืนยาว ส่วนที่โบสถ์กลางน้ำยังมีกระดิ่งที่เชื่อกันว่าใครได้ไปสั่นแล้วจะโชคดีอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : Expedia TH, pentorexchange
3. ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เมืองริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก @Austria
ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆทางตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบฮัลล์สตัทท์ ตั้งอยู่ในเมือง Salzkammergut ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่พักตากอากาศที่ดีที่สุดในออสเตรีย และเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก สวยจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997 ภาพของหมู่บ้านที่มีเทือกเขาเป็นองค์ประกอบอยู่ด้านหลังที่งดงามราวกับภาพวาด คือภาพที่ได้ถูกเผยแพร่มากที่สุดของประเทศออสเตรีย
ฮัลล์สตัท มีชนพื้นเมืองเก่าแก่ของภูมิภาคยุโรป โดยมีการขุดค้นพบหลุมศพ เครื่องไม้เครื่องมือ เสื้อผ้า และร่องรอยของการอยู่อาศัย ย้อนเวลาไปได้ถึง 800-450 ปีก่อนคริสตกาล อันเป็นยุคที่นักโบราณคดีเรียกว่า ต้นยุคเหล็ก (Early lron Age) ซึ่งมนุษย์เริ่มสามารถนำแร่เหล็กในธรรมชาติมาแปรรูป สร้างสรรค์เครื่องทุ่นแรงในชีวิตได้แล้ว ทว่าสิ่งที่ช่วยให้ฮัลล์สตัทเติบโตแบบกว้าวกระโดดจนกลายเป็นขุมทางค้าขายในตอนกลายของออสเตรียได้ก็คือ การค้นพบ “เกลือภูเขา” จนเกิดเหมืองเกลือขนาดใหญ่มีการค้าขายแลกเปลี่ยนกับชุมชนโดยรอบ
ถึงขนาดมีการสร้างท่อส่งเกลือด้วยไม้ซุงขุดให้ภายในกลวง นำมาต่อกันคล้ายท่อส่งน้ำโบราณอายุกว่า 400 ปี โดยใช้ไม้ซุงชุดกลวงเรียงต่อกันมากถึง 13,000 ต้น! กาลได้ล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน การที่เป็นเมืองในโอบล้อมขุนเขาเข้าถึงได้ยากด้วยถนนเมืองนี้จึงเหมือนถูกแช่แข็งไว้ในกาลเวลาโดยปริยาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะยังคงบรรยากาศของอดีตไว้ครบถ้วน โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมบ้านเรือนที่อยู่ตามไหล่เขา และบ้านเรือนลอยน้ำริมทะเลสาบ
จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเมืองชนบทเล็กที่ถูกโอบล้อมด้วยทะเลสาบและเทือกเขาที่สูงเด่น จึงทำให้ ฮัลล์สตัทท์ เกือบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกในสมัยก่อน และทำให้ผู้คนในดินแดนนี้ มีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากผู้คนที่อื่นๆ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังหมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งในแต่ละฤดูกาลก็มีความสวยงามที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่ไล่เฉดตั้งแต่เขียว เหลือง ส้ม แดง ไปทั่วทั้งภูเขาและหมู่บ้าน หรือจะเป็นฤดูหนาวที่มีหิมะขาวโพลนปกคลุมไปทั่วภูเขา ที่สำคัญนักท่องเที่ยวยังนิยมมาเล่นสกีกันอีกด้วย หรือใครอยากจะพักผ่อนชิลๆ ด้วยการเดินกินลมชมวิวรอบหมู่บ้านก็เป็นไอเดียที่ดีเช่นกัน
จุดเด่นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยของเมืองริมทะเลสาบสีน้ำเงินนี้ก็คือ เทือกเขาหิมะสูงตระหง่านล้อมรอบทะเลสาบสีฟ้าใสเอาไว้อย่างสนิทแนบ โดยมีเมืองเล็กๆตั้งอยู่ทางฟากตะวันตกของ ทะเลสาบฮัลล์สตัทเทอร์ (Hallstatter See) โดยคำว่า See ในภาษาออสเตรียก็หมายถึง ทะเลสาบ นั่นเอง ตัวเมืองเก่าแก่มีสถาปัตยกรรมยุโรปยุคโบราณ โบสถ์ยอดแหลมแบบโกธิกพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งหมดสะท้อนลงเป็นภาพเสมือนจริง ในทะเลสาบนิ่งสงบอย่างลงตัว มีป่าสนแน่นขนัดอยู่ตามลาดไหล่เขาข้างๆ
อีกทั้งบรรยากาศก็สงบเงียบ เนิบช้าปราศจากแสงสีและความอึกทึกใดๆ อดีตเมืองนี้เข้าถึงได้ด้วยเรือเท่านั้น เพิ่งมีการสร้างถนนเข้าไปถึงเมื่อปี ค.ศ.1890 จากทางฟากตะวันตกของทะเลสาบนั้นเองส่วนทุกวันนี้ถ้าใครนั่งรถไฟ สถานีก็ยังอยู่ที่อีกฝั่งของเมืองต้องลงเรือต่อเข้าไปอยู่ดี นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมรองรับนักท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การปีนเขา ล่องเรือในทะเลสาบ เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ หรือการทัวร์หมู่บ้านโดยมีเจ้าถิ่นเป็นไกด์นำทาง
ขอบคุณข้อมูลจาก : Kapook.com, Wonderfulpackage, Global Union Express
4. อุทยานแห่งชาติพลิทวิเซ่ (Plitvice Lakes National Park) @Croatia
อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิเซ่ (Plitvice Lakes National Park) ตั้งอยู่ที่เมืองลิก้า (Lika) ในดินแดนทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป ประเทศโครเอเชีย เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลบนหินปูนผ่านแม่น้ำโครานา (Korana) ทำให้เกิดทะเลสาบ 20 แห่งไหลผ่านหินปูนและหินชอล์ก ระหว่างทะเลสาบมีน้ำตกหลายแห่งและชั้นหลากหลายที่ชวนมหัศจรรย์ ซึ่งแต่ละชั้นยังมีความงดงามของธรรมชาติที่สวยงามจนสามารถสะกดสายตาของผู้ที่มาเยี่ยมชมได้อย่างอยู่หมัด
อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แวววาว ความมหัศจรรย์ของสายน้ำ ต้นกำเนิดมาภูเขามาลา คาเปลา ที่กัดเซาะชั้นหินปูนและก้อนหินโดโลไมท์เป็นระยะเวลานานหลายพันปี เกิดการขยายตัวของคราบหินปูนทีละเล็กทีละน้อย มันจะค่อยๆโตประมาณปีละ 1 เซนติเมตร ทำให้เกิดการเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเองไปเรื่อยตามการทับถมของหินคาร์บอเนต
ทะเลสาบพลิทวิเซ่ ตั้งอยู่ท่ามกลาง 3 เทือกเขา ทั้งเทือกเขา “Pljesevica”, “Mala Kapela” และ “Medvedak” ที่โอบล้อมทะเลสาบแห่งนี้ไว้ โดยทะเลสาบมีลักษณะทอดตัวยาวไปตามแนวร่องระหว่างเทือกเขา และมีเขื่อนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติขวางกันทะเลสาบเป็นช่วงๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากพวกมอส สาหร่าย และแบคทีเรีย ที่ก่อตัวเป็นเปลือกแข็งห่อหุ้มสลับกันไปเป็นชั้นๆ แถมยังมีน้ำตก “เวลิกิ สแล็พ” (Veliki Slap) น้ำตกที่ใหญ่และสูงกว่า 70 เมตร ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่ คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
นักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าทะเลสาบพลิทวิเซ่เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว เมื่อโลกยังอยู่ในช่วงยุคน้ำแข็งตอนปลาย (The Lasrt inter-glacial period) น้ำแข็งบางส่วนที่ละลายได้ไหลซึมผ่านชั้นหินใต้ดินไปจนถึงชั้นหินปูน น้ำที่ซึมผ่านชั้นดินเหนียวและทรายจนกระทั่งซึมต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเกิดแรงดันพุ่งขึ้นสู่ผิวชั้นบนกลายเป็นบ่อน้ำพุ ต่อมากลายเป็นแม่น้ำที่เรียกกันว่า Black River ( Crna Rijeka) และ White River ( Bijela Rijeka) เมื่อไหลมารวมกันในบริเวณที่มากขึ้นเรื่อยๆก็จะล้นทะลักไหลออกไปตามซอกเขา หุบเหว และ ช่องเขาดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน
จุดเด่นของพลิทวิเซ่คือ “ทะเลสาบ” ที่มีอยู่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด ทะเลสาบทุกแห่งต่อเชื่อมกันและเนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาที่มีระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน ทะเลสาบย่อยๆจึงวางตัวลดหลั่นกันตามไหล่เขา น้ำที่ไหลไปมาผ่านทะเลสาบจึงกลายเป็นน้ำตกน้อยใหญ่ที่สวยงามมาก สีของน้ำในทะเลสาบแต่ละแห่งยังแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ ช่วงฤดูและช่วงเวลาในแต่ละวัน ทั้งสีเขียว ฟ้า คราม เทา สะท้อนแร่ธาตุและสิ่งมีชีวิตภายในลำน้ำแต่ละช่วง
พลิทวิเซ่เป็นอุทยานที่มาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี และบรรยากาศจะแตกต่างกันไปตามช่วงฤดู โดยฤดูร้อนของฝรั่งจะมีนักท่องเที่ยวมากที่สุด แต่ฤดูหนาวหรือฤดูใบไม้ร่วงก็มีจุดเด่นไม่แพ้กัน ถ้าไปจังหวะที่อากาศหนาวมากๆ เราจะเห็นทั้งหิมะและน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็งสวยงามไม่แพ้ช่วงอื่น นอกจากความสวยงามตามธรรมชาติแล้วนั้น ทะเลสาบพลิทวิเซ่แห่งนี้ ยังแวดล้อมไปด้วยป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ เป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด อาทิเช่น หมีสีน้ำตาล นกอินทรี และนกชนิดอื่นๆ อีกกว่า 140 สายพันธุ์ ซึ่งเหตุนี้เอง จึงทำให้องค์การ UNESCO ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1979 อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : Eliteholidaythailand, 2baht.com, bloggang.com
5. แลปแลนด์ (Lapland) กับตำนานซานตาคลอส @Finland
แลปแลนด์ (Lapland) ดินแดนต้นกำเนิดซานตาคลอส สวยสะพรึงอย่างกะดึงออกมาจากนิยาย เชื่อว่าที่นี่คงเป็นหนึ่งดินแดนในฝันของใครหลายๆคน เรียกว่าเป็นสถานที่หนึ่งที่ควรจะได้ไปฟินก่อนตายกันเลยทีเดียว งั้นเราไปเริ่มดูกันดีกว่าว่าทำไม.. ที่นี่ถึงเป็นสถานที่ที่ใครๆก็อยากไป
แลปแลนด์คืออะไร? แลปแลนด์เป็นพื้นที่ครอบคลุมดินแดนดั้งเดิมตอนเหนือของฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน รวมถึงบางส่วนของประเทศรัสเซีย อยู่เหนือเส้นขั้วโลกเหนือ (Arctic Circle) ที่ถูกกำหนดไว้ที่ละติจูด 66 องศาเหนือ ดินแดนแถบนี้อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนืออากาศหนาวเหน็บแทบตลอดทั้งปี จัดว่าเป็นภูมิประเทศที่มีอากาศสุดขั้ว ทรัพยากรทางอาหารมีจำกัดยากต่อการอยู่อาศัย แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้มีอารยธรรมมายาวนานถึง 5,000 ปี
ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยในแถบนี้ มีชื่อเรียกเฉพาะว่าเป็นชาวซามิ (Sami) ที่ตั้งรกรากและสืบเชื้ออสายมาจนถึงทุกวันนี้ ชาวซามิมีวัฒนธรรมและภาษาเป็นของตัวเอง มีเหล่ากวางเป็นตัวช่วยทุกอย่างในการดำเนินชีวิต คือเป็นทั้งพาหนะ อาหาร และเครื่องนุ่งห่ม และจากข้อมูลของวิกิพีเดียปัจจุบันเชื่อว่ามีประชากรเชื้อสายซามิอยู่ราว 160,000 คนทั่วโลก
ประเทศฟินแลนด์เป็นต้นกำเนิดของลุงอ้วนใจดีชื่อ Santa Claus และที่นี่ เมืองโรวาเนียอามิ (Rovaniemi) ก็เป็นบ้านเกิดและที่อยู่ของซานตาคลอสอย่างเป็นทางการ ฉะนั้น ที่เที่ยวยอดนิยมของที่นี่จึงหนีไม่พ้น Santa Claus Village ที่มีลานสนุกกับหิมะ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ฟาร์มน้องหมาฮัสกี้ ฟาร์มพี่กวางเรนเดียร์ พร้อมกิจกรรมต่างๆ และมีลุงซานต้าตัวจริงเสียงจริงให้ถ่ายรูปและอวยพร
ซานตาคลอสไม่ใช่แค่ความเชื่อไร้เดียงสาสำหรับคนที่นี่ แต่เป็นตำนานที่มีความหมายสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของชาวแลปแลนด์มาอย่างยาวนาน เมืองนี้ไม่ได้มีของดีแค่ Santa Claus Village แต่ยังมีพิพิธภัณฑ์ชื่อดังอย่างอาร์ติคุม (Artikum) แค่สถาปัตยกรรมของตัวอาคารก็ขั้นเทพแล้ว ภายในยังอัดแน่นไปด้วยข้อมูลน่าสนใจให้ได้ทำความรู้จักกับแลปแลนด์ และวัฒนธรรมขาวซามิ (Sami) นอกจากนี้ยังมีข้อมูลปรากฏการณ์แสงเหนือ วีถีชีวิตและธรรมชาติของชาวขั้วโลกเหนืออีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : jkamolmas.wordpress.com, travel.mthai.com
6. เทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites Mountains) หนึ่งในเทือกเขาที่สวยงามที่สุดในโลก @Italy
คำว่า Dolomite อ่านได้หลายแบบโดยส่วนใหญ่ก็จะอ่านกันแบบภาษาอังกฤษก็จะอ่านว่า “โดโลไมท์” แต่จริงๆแล้วคนอิตาลีจะอ่านว่า “โดโลมิติ” ซึ่งบางทีก็จะถูกสะกดเป็นคำว่า Dolomiti ด้วยซ้ำไป และถ้าเกิดไปถามคนเยอรมันเขาก็จะอ่านว่า “โดโลมิท” สรุปคือจะอ่านว่า โดโลไมท์ โดโลมิติ โดโลมิท ก็ถูกหมดเลยแล้วแต่ตามสะดวก ก็ถ้าอยากอ่านแบบ Original อิตาเลียนสไตล์ เท่ห์ๆคูลๆก็เรียกไปเลยว่า โดโลมิติ ^^
“เทือกเขาโดโลไมท์” (Dolomites Mountains) ตั้งอยู่ในประเทศอิตาลีเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ที่ทอดตัวอยู่ในทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีชายแดนติดกับประเทศออสเตรีย พื้นที่มากกว่า 140,000 เฮกตาร์ มีทัศนียภาพสวยงาม มีความหลากหลายของชนิดของหินต่างๆ เป็นแหล่งอนุรักษ์ฟอสซิลที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO โดยเป็นหนึ่งในเทือกเขาที่สวยที่สุดในโลก ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่สวยงามแตกต่างกันในทุกฤดูกาล เปรียบเสมือนดังหญิงสาวสวยที่ไม่ว่าจะสวมอาภรณ์ใดก็งดงาม
เทือกเขาโดโลไมท์ ครอบคลุมอาณาบริเวณของแคว้น ทิโรลใต้ (Tirol South) และ แคว้นเวเนโต้ (Veneto) เป็นเทือกเขาได้ชื่อว่าเป็นแนวเขาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยลักษณะของยอดเขาต่างๆที่แทงยอดสูงเสียดฟ้า มีทัศนียภาพงดงาม จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของอิตาลี โดยช่วงฤดูหนาว เหล่าสกีรีสอร์ทต่างเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเทือกเขาแห่งนี้ ส่วนช่วงฤดูร้อน ที่นี่จะมีทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้สีสวยปรากฏตลอดช่วงเทือกเขา
บริเวณหลักๆของ Dolomite จะแบ่งเป็นสองด้านคือด้านตะวันตกและตะวันออก ทางตะวันตกจะมีเมืองชื่อ Ortisei เมืองเล็กๆสวยงามราวบ้านตุ๊กตาด้วยสีสันพาสเทล พร้อมศิลปะและวัฒนธรรมอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี อยู่กลางหุบเขา Val Gardena สูงจากระดับน้ำทะเลราว 1,300 เมตร ใกล้เขตออสเตรียจึงได้รับอิทธิพลมาพอสมควร Ortisei เป็นจุดหลักในการเดินทางเนื่องจากใกล้กระเช้า Funivie ortisei ดูวิวมุมสูงชมบรรยากาศสุดอลังการของวิวภูเขาสุดลูกหูลูกตา ด้านบนจะเป็นลักษณะทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ปูพรมไปด้วยใบไม้สีส้มตัดทุ่งหญ้าสุดสายตา มีกลุ่มยอดเขา Sussolungo ยืนเด่นและเป็น Landmark ของแถบนี้
ส่วนทางตะวันออกจะมีเมืองที่ชื่อว่า Cortina d’Ampezzo เรียกสั้นๆว่า Cortina เมืองเล็กๆที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ และครั้งหนึ่งเมืองนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่แข่งกีฬาโอลิมปิกหน้าหนาวเมื่อปี 1956 รายล้อมไปด้วยเทือกเขาสูงตระการตา และเมืองนี้ยังได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน Alpine Sku World Championships of 2021 อีกด้วย ภูเขาหลักของฝั่งตะวันออกก็คือ Tre Cime ซึ่งเป็นภูเขาสามยอดนั่นเอง
อีกหนึ่งจุดที่น่าไปคือ ทะเลสาบเบรียส (Lake Braies) ทะเลสาบสีเขียวมรกตตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโดโลไมท์ มีอีกชื่อว่า Prager Wildsee ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี ที่ UNESCO จัดให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ทะเลสาบ Braies ติดอันดับทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก ด้วยสีเขียวมรกตใสราวกับกระจก พร้อมทั้งรายล้อมไปด้วยพืชพันธุ์เขียวชอุ่มและต้นสนที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความตราตรึงใจของธรรมชาติที่นี่ และฉากหลังของภูเขาหินปูนที่สูงเสียดฟ้า ทำให้ทะเลสาบ Braies ถูกขนานนามว่าเป็น “ไข่มุกแห่งโดโลไมท์”
ขอบคุณข้อมูลจาก : instyletravels.com, govivigo.com, piriyaphoto.com, worldexplorer.co.th
7. เมืองเซโกเบีย (Segovia) กับปราสาทต้นแบบดิสนีย์ @Spain
เมืองเซโกเบีย (Segovia) เมืองมรดกโลกแห่งแคว้นคาสตีลและเลออนของประเทศสเปน ก็ถือว่าเป็นอีกเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างให้ความสนใจไม่แพ้เมืองอื่นๆ โดยเมืองเซโกเบีย นั้นเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญมากมาย ได้แก่ มหาวิหาร สะพานส่งน้ำโรมันที่มีชื่อเสียง ปราสาท และโบสถ์หลายแห่งที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ เช่น ซานเอสเตบัน ซานมาร์ติน และซานมียาน นอกจากนั้นคุณอาจแวะไปชม เขตเมืองเก่าล้อมรอบด้วยกำแพงที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 (บนฐานที่มั่นของโรมัน) และได้รับการบูรณะในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันเป็นแหล่งมรดกโลกตามการประกาศจากองค์การ UNESCO
สถานที่ที่ดูจะเป็นไฮไลท์ของเมืองอันดับแรกก็คงจะเป็น สะพานส่งน้ำโบราณ (roman Aqueduct of Segovia) สะพานที่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้มากที่สุดโดยถูกสร้างขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2 โดยชาวโรมันขณะที่กำลังขยายอำนาจในคาบสมุทรไอบีเรียเพื่อนำน้ำจาก แม่น้ำฟรีโอ (Río Frío) ซึ่งห่างออกไปประมาณ 18 กิโลเมตรเข้าสู่ตัวเมืองซึ่งต้องยกระดับตัวสะพานขึ้นในช่วง 1 กิโลเมตรสุดท้ายจากภูเขากวาดาร์รามาถึงกำแพงเมืองเก่า มีจำนวนโค้งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ 165 ช่วง และสูงถึง 29 เมตร ซึ่งใช้งานได้จริงถึงศตวรรษที่ 20 นับเป็นสิ่งก่อสร้างโรมันที่ใหญ่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในสเปน
สถานที่ต่อมาที่จะต้องทึ่งกับความงดงามทางด้านสถาปัตยกรรม คือ ปราสาทแห่งเซโกเบีย หรือ ปราสาทอัลคาซาร์ (Alcázar of Segovia) และเป็นปราสาทต้นแบบของปราสาทเจ้าหญิงนิทราในดีสนีย์แลนด์อีกด้วย เพราะความสวยสง่างามที่มองเห็นได้จากภายนอก ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูงที่แม่น้ำสองสาย ไหลมาบรรจบกัน ปราสาทแห่งนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 13 แล้วได้รับการต่อเติมในศตวรรษที่ 15 และ 16 มีลักษณะเหมาะแก่การตั้งรับข้าศึกในอดีต เพราะมีทั้งช่องขนาดใหญ่ใช้สําหรับติดตั้งอาวุธ และมีช่องสําหรับเทน้ำเดือดเพื่อทําลายกองทัพข้าศึกที่เข้าประชิดกําแพงเมือง
ภายในปราสาทได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์สําหรับแสดงของมีค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ห้องใต้หลังคาเป็นที่แสดงแสนยานุภาพของอาวุธในสมัยกลางรวมถึงเครื่องใช้ในอดีต ต่อมาปี ค.ศ.1975 UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้เมืองเซโกเบียเป็นมรดกโลกทางศิลปะวัฒนธรรม นอกจากนี้ภายในตัวเมืองเซโกเบีย ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายๆแห่ง บางคนอาจใช้เวลาหลายวันจนกว่าจะเที่ยวเมืองได้อย่างทั่วถึง หากคุณต้องการสัมผัสความเป็นโรมันแน่นอนว่า เซโกเบีย น่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรมาเยือนอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก : thaifly.com, themomentum, travelismylifeblog
8. ภูเขาคีร์กจูเฟล (Kirkjufell) กับแสงเหนือสุดโรแมนติก @Iceland
ถ้าพูดถึงประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ถ่ายทำหนังแล้วคงหนีไม่พ้นประเทศที่มีชื่อว่า “ไอซ์แลนด์” ซึ่งรู้หรือไม่ว่าประเทศไอซ์แลนด์เป็นแผ่นดินที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก! คือเพิ่งก่อตัวเมื่อราว 25 ล้านปีก่อนนี่เอง แต่ด้วยความหนาวเหน็บและตั้งอยู่สันโดษแยกห่างจากแผ่นดินอื่น ทำให้ไอซ์แลนด์ยังคงความบริสุทธิ์ไว้ได้ราวกับเป็นดินแดนดึกดำบรรพ์ที่ถูก ‘ฟรีซ’ ไว้ตลอดกาล ประเทศนี้มีขนาดเล็กกว่าอังกฤษเล็กน้อย แต่มีประชากรทั้งประเทศเพียงสามแสนกว่าคนเท่านั้นเอง!
ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาที่สุดในโลก ทั้งทุ่งหญ้าเขียวขจี ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่และทุ่งลาวาสีดำ ทำให้ไอซ์แลนด์เป็นประเทศในฝันของนักเดินทางทั่วโลกที่มองหาเส้นทางที่แปลกใหม่ ตื่นเต้นและน่าประทับใจ แม้ว่าดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าจะเดินทางไปเที่ยวไอซ์แลนด์เพราะต้องเตรียมตัวหลายอย่างและค่าใช้จ่ายคงไม่ใช่น้อยๆ แต่รู้หรือไม่ว่าไอซ์แลนด์เคยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่เที่ยวแล้วคุ้มค่าเงินที่สุดอันดับหนึ่งมาแล้ว และหนึ่งในสถานที่ที่ต้องไปดูให้ได้ก่อนตายก็คือ “ภูเขาคีร์กจูเฟล (Kirkjufell)”
คีร์กจูเฟล (Kirkjufell) เรียกเป็นภาษาอังกฤษคือ Church Mountain หรือ “ภูเขาโบสถ์” ว่ากันว่ามีที่มาจากรูปร่างของภูเขาซึ่งคล้ายคลึงกับโบสถ์ บ้างก็ว่าคล้ายหมวกของแม่มด หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าตัวภูเขาจะมีลักษณะเป็นชั้นๆ ต่างสีกัน ชั้นล่างสุดจะเป็นฟอสซิล ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเป็นล้านปีมาแล้ว ส่วนชั้นบนซึ่งเป็นหินลาวา เกิดในช่วงที่ยุคน้ำแข็งเริ่มอุ่นขึ้นและมีอายุหินน้อยกว่าชั้นล่าง
ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาสูง 463 เมตร ตั้งอยู่เพียงหนึ่งเดียว เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดของไอซ์แลนด์ ใกล้ๆกันมีน้ำตก Kirkjufellsfoss นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะถ่ายภาพสวยๆ ของน้ำตกที่มีฉากหลังเป็นภูเขา นอกจากนี้ นักปีนเขาที่มีประสบการณ์นิยมมาปืนขึ้นไปชมความงามบนยอดเขา โดยยอดเขาทางด้านทิศใต้จะชันน้อยกว่าทางทิศเหนือ ส่วนหากมองจากทางทิศตะวันตกจะไม่เห็นเป็นยอดแหลมๆ เหมือนตอนที่มองจากทางทิศใต้ แต่จะเห็นเป็นลักษณะหัวตัด
คีร์กจูเฟล เป็นสถานที่ที่มีความงดงามตลอดทั้งปีไม่ว่าจะเดินทางมาเที่ยวในช่วงใด โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่จะมองเห็น “ภูเขาหมวกแม่มด” แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นสีขาวโพลน สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยว Kirkjufell คือ โบสถ์ Grundarfjörður เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ.1961 โบสถ์แห่งนี้ใช้เวลาสร้าง 5 ปี สถาปนิกที่ออกแบบคือ HalldórHalldórsson ผู้ซึ่งได้ออกแบบโบสถ์ Dalvik รวมถึงโบสถ์อื่นๆอีกหลายแห่ง ไฟติดผนังถูกออกแบบให้คล้ายกับประภาคารบนบกหรือไฟบนเรือ
นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นสถานที่เก็บรักษา Guðbrand’s Bible (The Gudbrand Bible) พระคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในไอซ์แลนด์ที่ตีพิมพ์ในประเทศไอซ์แลนด์โดยชาวไอซ์แลนด์ พระคัมภีร์นี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาภาษาไอซ์แลนด์ เนื่องจากเนื้อหาการอ่านทางศาสนาส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ถูกจารึกด้วยภาษาเดนมาร์ก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวนอร์เวย์สูญเสียภาษาเดิม เนื่องจากขาดคำที่พิมพ์ออกมาในภาษาของตนเองในช่วงศตวรรษที่ 16 นั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก : palanla.com, thairath, govivigo.com
9. เกาะท้องฟ้าสร้างหนังดัง Isle of Skye @Scotland
Isle of Skye หรือเกาะสกาย เป็นเกาะใหญ่ทางตะวันตกสุดของสก๊อตแลนด์ มีภูมิทัศน์เป็นส่วนหนึ่งของเขตไฮแลนด์ของสก๊อดแลนด์ที่จะเต็มไปด้วยโตรกผาและแห้งแล้ง อันเป็นภูมิประเทศแบบพิเศษทางตะวันตกของทั้งอังกฤษ และทั้งเกือบครึ่งประเทศของสก๊อดแลนด์ก็ว่าได้ แม้จะดูแห้งแล้งมีทะเลสาบและโตรกผาภายใน ดูแล้วเป็นดินแดนที่น่ากลัว แต่ที่เกาะสกายนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกาะที่สวยที่สุดของบริเตนเลยทีเดียว ลักษณะภูมิประเทศใกล้เคียงที่ไอซ์แลนด์และแถววินเดอร์เมียร์ของอังกฤษ จึงไม่แปลกเลยว่าที่นี่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังดังอย่าง Harry Potter หรือแม้แต่ Star Wars
คำว่า “Skye” นั้นมีความสอดคล้องกับภาษาไวกิ้งของพวกนอร์สที่มาปกครองดินแดนนี้หลังพวกโรมัน มีความหมายว่า “เกาะแห่งเมฆ” ดังนั้น Skye จึงมีความสัมพันธ์กับท้องฟ้าและเมฆ ใครจะคิดว่าเป็นเกาะท้องฟ้าก็คงไม่ผิดเพราะที่นี่มีแต่เมฆหมอกปกคลุมอยู่ตลอดเวลาเลยก็ว่าได้
เกาะสกาย เป็นเกาะใหญ่อันดับสองของสกอตแลนด์ จะเป็นรองก็แต่ Lewis and Harris ที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือเท่านั้น มีเมืองพอร์ทรี (Potree) เป็นเมืองหลวงของเกาะ นอกจากนี้ก็ยังมีเมืองอุก (Uig) ที่เป็นท่าเรือเฟอรรี่เชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆ หรือเมือง Kyleakin เมืองหน้าด่านที่ทุกคนต้องนั่งเรือเฟอรรี่มาลงที่เมืองนี้ก่อนจะมีการสร้างสะพานเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่
หลายคนยังมีความเข้าใจผิดว่าสกอตแลนด์นั้นเป็นประเทศที่มีแต่แผ่นดินใหญ่ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ประเทศนี้ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยที่ตั้งอยู่กระจัดกระจายตามขอบชายฝั่งทวีป ดังนั้นเมื่อยุคไวกิ้งเรืองอำนาจ คือประมาณปีศตวรรษที่ 8-11 สกอตแลนด์ซึ่งยังคงไม่ได้เป็นประเทศอย่างเช่นในปัจจุบัน จึงถูกครอบครองโดยชาวไวกิ้งที่ล่องเรือลงมาจากทางเหนือ
เกาะสกาย เป็นเกาะที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจมากทีเดียว เพราะเมื่อศตวรรษที่ 12 หลังสิ้นสุดยุคไวกิ้งดินแดนทางตอนเหนือไล่ลงไปจนถึงเกาะอังกฤษนั้นจะมีการปกครองแบบพวกใครพวกมันหรือที่เรียกกันว่า Clan แต่ละกลุ่มก๊วนก็จะมีหัวหน้ากลุ่มที่เข้มแข็งเป็นผู้ปกครอง ถึงแม้ว่าจะมีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองประเทศสูงสุดก็ตาม แต่อำนาจของกษัตริย์นั้นก็ยังต้องพึ่งพาบรรดาหัวหน้ากลุ่มต่างๆเป็นมือเป็นเท้าในการดูแลความสงบสุขของประชาชน
การปกครองบนเกาะนี้มีกลุ่มที่มีอำนาจปกครองอยู่สองกลุ่มคือ Clan MacLeod และ Clan Donald หัวหน้าของทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนรักกันมา จึงถ้อยทีถ้อยอาศัยแบ่งปันอำนาจคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ 18 ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันก็ต้องสิ้นสุดลงเพราะเกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์นั่นก็คือ Jacobite Risings หรือการก่อกบฏเพื่อแย่งชิงราชบัลลังของกษัตริย์ James VII of Scotland
เกาะสกาย ถือว่าเป็นเกาะที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว เป็นสถานที่ซึ่งไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงหากมาเที่ยวสกอตแลนด์แต่ไม่ได้มาเยือนเกาะแห่งนี้ คุณจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องแน่นอน เพราะมันเป็นเสมือนแลนด์มาร์กสำคัญด้านสถานที่ท่องเที่ยวของสกอตแลนด์ อีกทั้งความงดงามของมันยังเหมือนดินแดนในเทพนิยาย ทั้งภูเขา สายน้ำ และหมู่บ้านที่ถูกห้อมล้อมด้วยบรรยากาศสุดโรแมนติก นอกจากจะเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจแล้ว ยังเหมาะเป็นสถานที่สำหรับจัดงานวิวาห์หรือขอสาวแต่งงานอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : pentorexchange, knightraiderblog, JeDI PiDUAi
10. ปาตาโกเนีย (Patagonia) ดินแดนสวยงามสุดขอบโลก @Argentina & Chile
ที่ปลายสุดของทวีปอเมริกาใต้หรือที่เรียกกันว่าปลายสุดขอบโลก ยังมีดินแดนที่สวยงามและมีวิวที่สวยงามแปลกตารวมเอาทั้งดอกไม้ ทุ่งหญ้า ธารน้ำแข็ง ป่าเขียว ทะเลสาบ ภูเขา ทะเล และสัตว์ป่ามากมาย รวมอยู่ไว้ในพื้นที่เดียวที่เรียกว่า “ปาตาโกเนีย (Patagonia)” ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ มีอาณาบริเวณประมาณ 1,043,076 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 1,999,540 คน
เขตตะวันตกอยู่ติดกับเทือกเขาแอนดีสและมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งประกอบไปด้วยภูเขาสูงปกคลุมด้วยป่าไม้ และทะเลสาบ มีธารน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ส่วนเขตตะวันออกอยู่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ทั้งนี้ พื้นที่ของปาตาโกเนียครอบคลุมระหว่างอาร์เจนตินากับชิลี และมีเทือกเขาแอนดีสเป็นปราการสำคัญ สำหรับชื่อเรียก ปาตาโกเนีย (Patagonia) มีที่มาจากนักเดินเรือสำรวจชาวสเปนเชื้อชาติโปรตุเกส เฟอร์ดินันท์ มาเกยัน เขาพบเจอดินแดนสวรรค์แห่งนี้จากการออกเดินทางสำรวจโลก และสร้างสรรค์ชื่อเรียกให้มันว่า Patagonia
จุดท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ ธารน้ำแข็งเปริโต้ โมเรโน (Perito Moreno) ประเทศอาร์เจนติน่า เป็นธารน้ำแข็งแสนสวยที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติลอส กลาซิอาเรส (Los Glaciares) ประเทศอาร์เจนติน่า ซึ่งสามารถเลือกเส้นทางในการเยี่ยมชมได้หลากหลาย ทั้งการล่องเรือโดยสารแบบชิลล์ๆ เดินบนเส้นทางเดินเท้าสู่ยอดธารน้ำแข็ง หรือจะยืนชมจากจุดชมวิวในอุทยานเพื่อรอการหล่นของก้อนน้ำแข็งเสียงดังกระหึ่ม ไม่ว่าจะทางไหนก็รับรองว่าน่าตื่นตาตื่นใจพอๆกัน
อุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปย์เน (Torres del Paine National Park) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศชิลีตอนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ที่รักการผจญภัยและการปีนเขา ด้วยเส้นทางที่ใช้เวลา 8-10 วัน ผ่านทิวทัศน์ที่หลากหลาย ทั้งธารน้ำแข็ง ทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง และภูเขาหินแกรนิตสูงชันแปลกตา ให้ความรู้สึกเหมือนได้พิชิตทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ในทริปเดียว
แหลมฮอร์น (Cape Horn) ส่วนใต้สุดของเกาะเตียร์ราเดลฟวยโก (Tierra del Fuego) ในประเทศชิลี เป็นที่รู้จักกันในฉายา The end of the world ที่นี่จะมอบกิจกรรมท่องเที่ยวสุดท้าทายให้กับขาเที่ยวได้เลือกอย่างเพลิดเพลิน ที่นี่เป็นบ้านของสัตว์ทะเลมากมาย ทั้งปลาวาฬเพชรฆาต นกนางนวล สิงโตทะเล และปลาโลมา ท่ามกลางทะเลที่ขึ้นชื่อว่ามีกระแสน้ำโหดร้ายในอันดับต้นๆของโลก หากมาที่นี่แนะนำกันว่าให้ซื้อทัวร์ล่องเรือสำราญที่แล่นอ้อมแหลมเพื่อที่จะได้ชมความงามได้แบบรอบด้านและปลอดภัย
ถึงอเมริกาใต้จะไกลไปนิดแต่ก็ไม่ไกลเกินความพยายามของคนชอบเที่ยวที่อยากไปค้นหาบรรยากาศใหม่ ๆ เติมพลังให้กับชีวิต ขอแค่ไม่ลืมวางแผนอย่างชาญฉลาด รอบคอบ ทุกการเดินทางก็จะเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก : gettgo.com, kapook.com, mthai.com